คำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์



คำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์





คำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์

พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือไม่?




คำถาม: พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือไม่?

คำตอบ:
คำตอบของเราสำหรับคำถามนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวกำหนดว่าเรามีมุมมองต่อพระคัมภีร์อย่างไร และพระคัมภีร์มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างไรเท่านั้น แต่จะมีผลต่อชีวิตของเราตลอดไปด้วย หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนแล้ว เราควรจะต้องหวงแหน ศึกษา เชื่อฟัง และ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องวางใจในพระคัมภีร์ หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าแล้ว การปฏิเสธพระคัมภีร์คือการปฏิเสธพระเจ้านั่นเอง

ความเป็นจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมอบพระคัมภีร์ให้กับเรา คือ พยานหลักฐานและการแสดงถึงความรักของพระองค์ต่อเรา คำว่า “การเปิดเผยสำแดง” มีความหมายง่าย ๆ ว่า พระเจ้าทรงสื่อให้มนุษย์รู้ว่าพระองค์ทรงมีพระลักษณะอย่างไร และเราจะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ได้อย่างไร มีบางอย่างที่เราไม่อาจจะรู้ได้เลยหากพระองค์ทรงไม่เปิดเผยสำแดงผ่านทางพระคัมภีร์ให้เราได้รู้ แม้ว่าการเปิดเผยทีละเล็กละน้อยจะใช้เวลาประมาณ1500 ปี แต่ตลอดมา พระคัมภีร์นั้นมีทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเสมอ เพื่อให้เราได้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนแล้ว มันจะต้องเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดที่เราต้องยึดถือในทุกกรณีที่เกี่ยวกับความเชื่อ การปฏิบัติทางศาสนา และ คุณธรรม

คำถามที่เราต้องถามตัวเอง คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่แค่หนังสือดี ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น? อะไรคือเอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ที่ทำให้พระคัมภีร์แตกต่างจากหนังสืออื่น ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา เท่าที่เคยได้มีการเขียนขึ้นมา? มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง? นี่เป็นคำถามที่เราต้องพิจารณาหากเราต้องการค้นหาอย่างจริงจัง ตามคำยืนยันว่ามันคือพระวจนะล้วน ๆ ของพระเจ้าที่ได้ถูกเขียนขึ้นมาโดยได้รับการดลใจจากพระองค์, และเพียงพอสำหรับความเชื่อและการปฏิบัติในทุกแง่มุม

ไม่ต้องมีอะไรให้สงสัยเลยว่าพระคัมภีร์ยืนยันแน่นอนว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า การยืนยันนี้เห็นได้ชัดเจนจากข้อพระคัมภีร์เช่น 2 ทิโมธี 3:15-17 “… และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม”

เพื่อที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องดูหลักฐานทั้งภายในและภายนอกที่บอกว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้่า หลักฐานภายในคือสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องภายในสำหรับพระคัมภีร์เองที่เป็นพยานถึงต้นกำเนิดที่มาจากพระเจ้า หนึ่งในหลักฐานต้น ๆ ที่บ่งชี้ว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริงปรากฏอยู่ในความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันของพระคัมภีร์ ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะประกอบด้วยหนังสือถึงหกสิบหกเล่ม เขียนจากสามทวีป จากสามภาษา ภายใต้ช่วงเวลาถึง 1500 ปี โดยผู้เขียนมากกว่า 40 คน (จากหลายพื้นเพ) พระคัมภีร์ยังคงดำรงค์ไว้ซึ่งความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ขัดแย้งกันเลย ความสอดคล้องนี้คือเอกลักษณ์ที่ทำให้พระคัมภีร์แตกต่างไปจากหนังสือฉบับอื่น ๆ และคือประจักษ์ฺพยานถึงต้นกำเนิดของถ้อยคำ ซึ่งมาจากการดลใจของพระองค์ ให้มนุษย์บันทึกไว้่โดยไม่มีอะไรแปลกปลอมอยู่เลย

ประจักษ์พยานภายในอีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริง คือ คำพยากรณ์อย่างละเอียดที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าต่าง ๆ ของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บันทึกคำพยากรณ์เป็นร้อย ๆ ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตของบรรดาประชาชาติต่าง ๆ รวมถึงประชาชาติอิสราเอล, เมืองบางเมือง, อนาคตของมนุษย์, และ การเสด็จมาของผู้หนึ่งผู้จะทรงเป็นพระเมษสิยาห์, พระผู้ช่วยให้รอดของชนชาติที่ไม่เพียงแต่ชนชาติิอิสราเอลเท่านั้น แต่ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ด้วย ไม่เหมือนกับคำพยากรณ์ในหนังสือเกี่ยวกับศาสนาเล่มอื่น ๆ หรือคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส, คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์มีรายละเอียดชัดเจนและไม่เคยไม่เกิดขึ้่น แค่ในพันธสัญญาเดิมอย่างเดียว พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์กว่าสามร้อยคำพยากรณ์ มันไม่เพียงแต่กล่าวล่วงหน้าว่าพระองค์จะทรงมาบังเกิดที่ไหน กับครอบคร้วไหน แต่ยังบอกว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร และจะทรงฟื้นคืนพระชนม์ภายในสามวันอีกด้วย ไม่มีคำอธิบายใดที่สามารถบอกได้ว่า ทำไมคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์จึงสำเร็จเป็นจริง นอกจากจะบอกว่า เพราะมันมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า ไม่มีหนังสือทางด้านศาสนาเล่มไหนที่มีคำพยากรณ์อย่างละเอียด เหมือนพระคัมภีร์มี

ประจักษ์พยานภายในประการที่สามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระคัมภีร์ว่ามาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ สิทธิำำอำนาจและพลังที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าประจักษ์พยานนี้จะเป็นรูปธรรมน้อยกว่าสองพยานแรก แต่มัีนก็ทรงพลังไม่น้อยกว่ากันในการชี้ให้เห็นว่าพระคัมภีึร์มีต้นกำเนิดมาจากพระเ้จ้า พระคัมภีร์มีสิทธิอำนาจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนหนังสือเล่มไหนทั้งสิ้น สิทธิอำนาจและพลังนี้เห็นได้ชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วนที่ได้อ่านพระคัมภีร์ ผู้ที่ติดยาได้รับการบำบัดรักษา, ผู้ที่เล่นรักร่วมเพศได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ, คนที่ย่ำแย่, คนที่ขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัว ได้รับการเปลี่ยนแปลง, อาชญากรใจหินได้รับการเปลี่ยนแปลง, คนบาปไ้ด้รับการว่ากล่าวตักเตือน, และความเกลียดชังถูกเปลี่ยนเป็นความรัก โดยการอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์มีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ เพราะพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า

นอกจากหลักฐานภายในแล้ว ยังมีหลักฐานภายนอกอีกหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง หนึ่งในหลักฐานเหล่านั้นคือ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์กล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไว้อย่างละเอียด ดังนั้น ความเป็นจริงและความถูกต้อง ต้องได้รับการยืนยัน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในประวัติศาตร์อื่น ๆ จากหลักฐานต่าง ๆ ทางโบราณคดี และ ที่มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าถูกต้องและเป็นความจริง อันที่จริงหลักฐานทางโบราณคดี และ หลักฐานที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ที่สนับสนุนพระคัมภีร์ ทำให้พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ความจริงที่ว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ไว้อย่างถูกต้องและตามความเป็นจริง มัีนจึงเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดที่ชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องแม่นยำของพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงหัวข้่อเกี่ยวกับศาสนาและกฎบัญญัติ นั้นทำให้การอ้างว่าพระคัีมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้ามีน้ำ้หนักมากยิ่งขึ้น

หลักฐานภายนอกอีกชิ้นหนึ่งที่บ่งชี้ว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ ความสัตย์สุจริตของผู้เขียน ดังที่กล่าวไว้แล้ว พระเจ้าทรงใช้มนุษย์ทุกอาชีพ ทุกสถานภาพ บันทึกพระวจนะของพระองค์ที่ีมีต่อเรา เมื่อศึกษาชีวิตของคนเหล่านี้ เราจะเห็นว่าไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ทำให้เราคิดว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อเราศึกษาประวัติของพวกเขา และความเป็นจริงที่ว่าพวกเขาุึถึงกับยอมตาย (อย่างเจ็บปวดทรมานเป็นส่วนใหญ่) เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ ทำให้เราเห็นชัดเจนทันทีว่าคนธรรมดา ๆ แต่สัตย์ซื่อเหล่านี้เชื่อแน่นอนว่าพระเจ้าได้ตรัสกับพวกเขา ผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ และผู้เชื่อเป็นร้อย (1 โครินธ์ 15:6) รู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาประกาศ เพราะพวกเขาได้เห็นและได้ใช้เวลาอยู่กับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย การได้เห็นพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์กับตา มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในพวกเขา จากการที่ต้องหลบซ่อนด้วยความกลัว กลายเป็นการเต็มใจที่จะตายเพื่อประกาศข่้าวประเสริฐที่พระเจ้าืทรงเปิดเผยสำแดงกับพวกเขา ชีวิตและความตายของพวกเขาเป็นพยานถึงความเป็นจริงที่ว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริง

ประจักษ์พยานภายนอกชิ้นสุดท้ายที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์คืิอพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้า คือ การที่ไม่มีใครสามารถทำลายพระคัมภีร์ได้ เพราะความสำคัญของพระคัมภีร์ และ เพราะพระคัมภีร์ยืินยันว่ามันเป็นพระวจนะของพระเ้จ้า พระคัมภีร์จึงถูกโจมตีอย่างรุนแรงหลายครั้ง และ ได้มีการพยายามทำลายพระคัมภีร์มากกว่าหนังสือเล่มใดในประวัติศาสตร์ จากจักรพรรดิ์โรมันในยุคต้น ๆ เช่น ดิโอคลีเชียน มาถึงผู้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ จนถึงผู้ที่ไม่เชื่อหรือไม่แน่ใจว่าพระเจ้ามีจริงในปัจจุบัน พระคัมภีร์ยืนหยัดมั่นคงผ่านทุกยุคทุกสมัย และยังคงเป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

ตลอดมา ผู้ที่ไม่เชื่อถือความจริงใด ๆ ทั้งสิ้นถือว่าพระคัมภีร์คือเทพนิยาย แต่นักโบราณคดียืนยันว่าพระคัมภีร์คือประวัติศาสตร์ ผู้ต่อต้านโจมตีว่าคำสอนในพระคัมภีร์เป็นเรื่องโบราณและล้าสมัย แต่แนวความคิดทางด้านศีลธรรม กฎบัญญัติ และคำสอน ได้มีผลกระทบทางด้านดีต่อสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ยังคงถูกต่อต้านโดยนักวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และการเมือง แต่พระคัมภีร์ก็ยังเป็นความจริงและยังใช้ได้ในปัจจุบันอยู่นั่นเอง ดังที่ได้เป็นมาแล้วตั้งแต่ที่พระคัมภีร์ได้ถูกเขียนขึ้นมา พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิต วัฒนธรรม นับไม่ถ้วนมาแล้วตลอดระยะเวลา 2000 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าผู้ัต่อต้านจะพยายามโจมตี ทำลาย หรือ ทำให้พระคัมภีร์เสียชื่อเสียงอย่างไร มันก็ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง เคยเป็นความจริงอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ยังใช้การได้หลังถูกโจมตีอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ไม่ว่ามันจะถูกพยายามทำให้บิดเบือน โจมตี หรือทำลาย ความถูกต้องแม่นยำที่ยังคงถูกรักษาไว้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริง เราไม่ควรประหลาดใจเลยว่า ทำไม ไม่ว่าพระคัมภีร์จะถูกโจมตีอย่างไร มันก็ยัีงคงผ่านพ้นมาได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือสะทกสะท้าน เหนือสิ่งอื่นใด พระเยซูตรัสว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย” (มาระโก 13:31) หลังจากที่ได้ดูหลักฐานแล้ว เราสามารถพูดได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า “ใช่แล้ว พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอน.”





พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือไม่?

พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?




คำถาม: พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?

คำตอบ:
หากท่านอ่านพระคัมภีร์โดยไม่ลำเอียงหรือพยามยามที่จะค้นหาข้อผิดพลาด ท่านก็จะพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่แสดงเรื่องราวต่อเนื่องกัน, สอดคล้องกัน, และง่ายต่อการเข้าใจ แน่นอนว่ามีข้อความบางตอนที่ยาก และบางตอนดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเอง แต่เราต้องเข้าใจว่าพระคัมภีร์ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คนโดยใช้เวลานานประมาณ 1500 ปี ผู้เขียนแต่ละคนเขียนด้วยลีลาที่แตกต่างกัน จากมุมมองที่แตกต่างกัน ถึงผู้ฟังที่แตกต่างกัน และด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงควรคาดหวังที่จะเห็นข้อแตกต่างบ้าง! แต่อย่างไรก็ตามข้อแตกต่างที่ว่าไม่ใช่ข้อขัดแย้ง มันจะถือว่าเป็นข้อผิดพลาดได้ก็ต่อเมื่อข้อความในพระคัมภีร์ขัดแย้งกันจนไม่สามารถลงรอยกันได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคำตอบ มีหลายคนพบว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ หลักฐานทางโบราณคดีที่ถูกค้นพบต่อมาก็ได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ถูกต้อง

ในเว็บภาษาอังกฤษของเรา เราได้รับคำถามทำนองนี้บ่อย ๆ “ช่วยอธิบายหน่อยว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน” หรือ “นี่ไงข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์!” เราต้องยอมรับว่าบางครั้งคำถามที่ถามมาเป็นเรื่องยากที่จะตอบ แต่เรายืนยันว่าทุกข้อสงสัยที่ว่าข้อพระคัมภีร์ขัดแย้งกันเองและมีข้อผิดพลาด มีคำตอบที่เป็นไปได้ สมเหตุสมผล และรับได้ มีหนังสือและเว็บมากมายที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดทุกประการในพระคัมภีร์นั้นไม่จริง แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าคนที่โจมตีพระคัมภีร์ไม่ได้สนใจในคำตอบอย่างแท้จริง – นอกจากจะโจมตีพระคัมภีร์เท่านั้น – คนที่ชอบ “โจมตีพระคัมภีร์” หลายคนรู้คำตอบดี แต่ก็ยังอยากโจมตีอยู่ดีด้วยการใช้การโจมตีตื้น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทีนี้ท่านจะทำอย่างไรหากมีคนถามเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์? (1) จงศึกษาข้อพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน แล้วดูว่ามีคำตอบง่าย ๆ ไหม (2) ค้นคว้าหาข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ดีที่สุดเช่นหนังสืออธิบายพระคัมภีร์, หนังสือ “สู้คดีพระคัมภีร์” และเว็บต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช่ได้ (3) ถามศิษยาภิบาล/หรือผู้นำคริสตจักรของท่านดูว่าเขาจะมีคำตอบให้ท่านไหม (4) หากท่านทำทั้งข้อ 1, 2 และ 3 แล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนก็ขอให้ท่านวางใจในพระเจ้าว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริงและมันจะต้องมีคำตอบอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ท่านยังหาไม่เจอเท่านั้น (2 ทิโมธี 2:15; 3:16-17)





พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?

พระคัมภีร์เข้ากับปัจจุบันได้ไหม?




คำถาม: พระคัมภีร์เข้ากับปัจจุบันได้ไหม?

คำตอบ:
หนังสือฮีบรู 4:12 กล่าวว่า “เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ได้ถูกเขียนขึ้นมาโดยผู้เขียนกว่า 40 คน โดยกินเวลากว่า 1500 ปี แต่พระคัมภีร์ยังคงไว้ซึ่งความถูกต้องแม่นยำและใช้การได้จนถึงปัจจุบัน พระคัมภีร์คือแหล่งเดียวของการเปิดเผยสำแดงเกี่ยวกับพระเจ้าและแผนการของพระองค์สำหรับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงให้กับเรา

พระคัมภีร์ประกอบด้วยข้อมูลมากมายเกี่ยวกับธรรมชาติของโลกซึ่งได้รับการยืนยันโดยการสังเกตการณ์และค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลบางข้อมูลสามารถหาดูได้จากหนังสือเลวีนิติ 17:11, ปัญญาจารย์ 1:6-7, โยบ 36:27-29, สดุดี 102:25-27 และโคโลสี 1:16-17 ในขณะที่เรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับแผนการไถ่มนุษย์ของพระเจ้าได้รับการเปิดเผย บุคลิกลักษณะหลายประเภทก็ได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนเช่นกัน ในการเปิดเผยนั้น พระคัมภีร์ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์และแนวโน้มว่าเขาจะโอนเอียงไปทางไหน จากประสบการณ์ในแต่ละวันของเรา ทำให้เรารู้ว่าข้อมูลนี้ถูกต้องและบอกถึงสภาพของมนุษย์ได้ถูกต้องมากกว่าตำราจิตวิทยาเล่มไหนทั้งสิ้น ส่วนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ก็ได้รับการยืนยันโดยแหล่งอื่นนอกพระคัมภีร์เช่นกัน เมื่อพูดถึงเหตุการณ์เดียวกัน การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่พระคัมภีร์บันทึกไว้สอดคล้องกับข้อมูลนอกพระคัมภีร์เป็นประจำ ในหลาย ๆ กรณี พระคัมภีร์ถูกลงความเห็นว่ามีความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มากกว่า

แต่อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์, ตำราทางด้านจิตวิทยา หรือวารสารทางวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์คือคำพรรณนาของพระเจ้าที่ทรงบอกให้เรารู้ว่าพระองค์คือใคร และพระประสงค์และแผนการของพระองค์สำหรับมนุษยชาติคืออะไร จุดสำคัญที่สุดของการเปิดเผยสำแดงคือเรื่องที่เกี่ยวกับการที่เราถูกตัดขาดจากพระเจ้าเพราะความบาป และการจัดเตรียมหนทางสำหรับการคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางการไถ่บาปบนกางเขนโดยพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ความจำเป็นของเราที่จะต้องได้รับการไถ่บาปยังคงเป็นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการให้เราคืนดีกับพระองค์

พระคัมภีร์มีข้อมูลที่ถูกต้องและเข้ากับเหตุการณ์อยู่มากมาย และข้อมูลที่สำคัญที่สุดในพระคัมภีร์ – การไถ่บาป – เป็นสากล, ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน พระวจนะของพระเจ้าไม่มีวันล้าสมัย, ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาแทนที่ได้, ไม่มีใครสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ถึงแม้ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีจะเปลี่ยนไป, กฎบัญญัติจะเปลี่ยนไป, คนจากชั่วอายุหนึ่งผ่านไป คนอีกชั่วอายุหนึ่งผ่านเข้ามา - แต่พระวจนะของพระเจ้ายังคงใช้การได้ในปัจจุบันเหมือนกับที่เคยใช้ได้มาแล้วในอดีตตั้งแต่สมัยที่พระคัมภีร์เริ่มถูกเขียนขึ้นมา ไม่จำเป็นว่าข้อพระคัมภีร์ทุกข้อจะตรงเผงกับปัจจุบันสำหรับเราในวันนี้ แต่ข้อพระคัมภีร์ทุกข้อมีความจริงบรรจุอยู่ ซึ่งเราสามารถ, และควรนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของเราในปัจจุบัน





พระคัมภีร์เข้ากับปัจจุบันได้ไหม?

คัมภีร์ สารบบถูกรวมรวมขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร?




คำถาม: คัมภีร์ สารบบถูกรวมรวมขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร?

คำตอบ:
คำว่า “สารบบ” ถูกใช้เพื่ออธิบายว่าหนังสือหลาย ๆ เล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า ดังนั้นมันจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ ความยากในการกำหนดสารบบ คือ พระคัมภีร์ไม่ได้ให้รายชื่อหนังสือมาด้วยว่าเล่มไหนอยู่ในสารบบหรือไม่ การกำหนดสารบบเป็นการกระทำที่เป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากพระชาวยิว, ต่อมาเป็นผู้คงแก่เรียน จนมาถึงคริสเตียนในยุคแรก แต่ท้ายที่สุดพระเจ้าคือผู้ตัดสินว่าหนังสือเล่มไหนควรอยู่ในคัมภีร์สารบบ หนังสือในสารบบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ตั้งแต่วินาทีแรกที่พระเจ้าทรงดลใจผู้เขียนให้เขียนมันขึ้นมา มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับพระเจ้าในการทำให้มนุษย์ผู้ติดตามพระองค์แน่ใจว่าหนังสือเล่มไหนควรอยู่ในพระคัมภีร์

เมื่อเปรียบเทียบกับพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมถูกโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสารบบน้อยกว่าพระคัมภีร์ใหม่ ผู้เชื่อชาวฮีบรูยอมรับรู้ว่าใครเป็นผู้สื่อสารของพระเจ้า และยอมรับว่าหนังสือของเขาผู้นั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการถกเถียงกันบ้างบางประการเกี่ยวกับสารบบในพันธสัญญาเดิม แต่ในปี คศ.250 เกือบทั่วโลกก็เห็นด้วยกับสารบของพระคัมภีร์ฮีบรู เรื่องเดียวที่ยังมีการโต้แย้งกันอยู่คือหนังสือที่ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสารบบ … ซึ่งการถกเถียงและโต้แย้งบางประการยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ทรงคุณวุฒิชาวฮีบรูส่วนใหญ่เห็นว่าหนังสือนอกคัมภีร์สารบบเหล่านี้เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์และศาสนาที่ดี แต่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับหนังสือในพระคัมภีร์ฮีบรู

สำหรับพันธสัญญาใหม่ ขั้นตอนในการยอมรับและรวบรวมหนังสือต่าง ๆ เริ่มขึ้นตั้งแต่ศตวรรษแรกของคริสตจักร แต่หนังสือบางฉบับได้รับการยอมรับล่วงหน้ามานานแล้ว เปาโลยอมรับว่าข้อเขียนของลูกาเป็นทางการเท่า ๆ กับพันธสัญญาเดิม (1 ทิโมธี 5:18; ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 25:4 และลูกา 10:7 ประกอบด้วย) เปโตร ยอมรับว่าข้อเขียนของเปาโลเป็นข้อพระคัมภีร์ (2 เปโตร 3:15-16) หนังสือบางฉบับในพันธสัญญาใหม่ได้รับการส่งเวียนไปตามคริสตจักรต่าง ๆ (โคโลสี 4:16; 1 เธสะโลนิกา 5:27) คลีมอนต์แห่งกรุงโรมได้พูดถึงหนังสือในพันธสัญญาใหม่อย่างน้อยแปดเล่ม (คศ. 95) อิกเนทิอัสแห่งเมืองอันทิโอก ยอมรับประมาณเจ็ดเล่ม (คศ. 115) โพลิคาบ, สาวกของอัครทูตยอห์นยอมรับ 15 เล่ม (คศ. 108) ต่อมา ไอรีเนอุส เอ่ยถึงหนังสือ 21 เล่ม (คศ. 185) ฮิโพลิตัส ยอมรับ 22 เล่ม (คศ. 170-235) หนังสือในพันธสัญญาใหม่ที่ได้รับการโต้แย้งมากที่สุดคือหนังสือฮีบรู, ยากอบ, 2 เปโตร, 2 ยอห์น, และ 3 ยอห์น คัมภีร “ระบบ” ฉบับแรกคือ คัมภีร์ระบบโมราโทเรียน ซึ่งถูกรวบรวมขึ้นมาในระหว่างปี คศ. 170 คัมภีร์ระบบโมราโทเรียนประกอบด้วยหนังสือในพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดยกเว้น หนังสือฮีบรู ยากอบ และ 3 ยอห์น ในปีคศ. 363 สภาแห่งเมืองเลาดีเซีย ประกาศว่าพันธสัญญาเดิม (รวมทั้งหนังสือนอกระบบด้วย) และหนังสือในพันธสัญญาใหม่อีก 27 เล่ม เท่านั้นที่จะมีการอ่านกันในคริสตจักร สภาแห่งเมืองฮิปโป (คศ. 393) และสภาแห่งเมือง คารเทจ (คศ. 397) ก็เช่นกันยอมรับว่าหนังสือ 27 เล่มดังกล่าวเป็นหนังสือที่ได้รับการอนุญาตให้อ่านได้

สภาเหล่านี้ใช้หลักการคล้าย ๆ หลักการต่อไปนี้ กำหนดว่าหนังสือในพันธสัญญาใหม่เล่มไหนได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริง: 1) ผู้เขียนเป็นอัครทูตหรือเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับอัครทูตหรือไม่? 2) หนังสือได้รับการยอมรับโดยพระกายของพระคริสต์ส่วนใหญ่หรือไม่? 3) หนังสือมีหลักคำสอนที่หนักแน่นและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปหรือไม่? 4) หนังสือประกอบด้วยคุณธรรมที่สูงส่งและคุณค่าฝ่ายวิญญาณที่สะท้อนถึงงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่? แต่ที่สำคัญคือเราจะต้องจำไว้เสมอว่าคริสตจักรไม่ได้เป็นผู้กำหนดสารบบ ไม่มีสภาใดของคริสตจักรในยุคแรกเป็นผู้กำหนดสารบบ มีแต่พระเจ้าและพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงกำหนดว่าหนังสือเล่มไหนควรอยู่ในสารบบ พระเจ้าเพียงแต่ทรงทำให้ผู้ติดามพระองค์มั่นใจในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตัดสินพระทัยลงไปแล้วเท่านั้น ขบวน การของมนุษย์ในการคัดเลือกหนังสือที่จะบรรจุลงในพระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่เอาใจใส่ และดื้อดึงแต่พระเจ้า, ในความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระองค์, ก็ได้ทรงนำคริสตจักรในยุคแรกให้รู้ว่าหนังสือเล่มไหนได้รับการดลใจจากพระองค์





คัมภีร์ สารบบถูกรวมรวมขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร?

อะไรคือวิธีที่ถูกต้องในการศึกษาพระคัมภีร์?




คำถาม: อะไรคือวิธีที่ถูกต้องในการศึกษาพระคัมภีร์?

คำตอบ:
การตีความหมายข้อพระคัมภีร์เป็นงานที่ยากงานหนึ่งในชีวิตของผู้เชื่อ พระเจ้าไม่ได้ทรงบอกว่าเราแค่ต้องอ่านพระคัมภีร์เท่านั้น แต่เราต้องศึกษาและใช้มันอย่างถูกต้อง การศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานยาก การอ่านผ่าน ๆ หรือคร่าว ๆ บางครั้งอาจทำให้เราเข้าใจความหมายของพระเจ้าผิดได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจหลักการหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการตัดสินใจว่าอะไรคือความหมายที่ถูกต้องของข้อพระคัมภีร์

1. จงอธิษฐานและขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้ท่านเข้าใจ ยอห์น 16:13 กล่าวว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น” ในหนังสือยอห์น ข้อ 16 พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และบอกว่าเมื่อพระองค์เสด็จมา (พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาในวันเพนเทคศเต, กิจการ 2) พระองค์จะทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเหล่าอัครทูตในการเขียนพันธสัญญาใหม่ฉันใด พระองค์ก็ทรงนำเราให้เข้าใจข้อพระคัมภีร์ฉันนั้น จงจำไว้ว่าพระคัมภีร์คือหน้งสือของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องถามพระองค์ว่ามันหมายความว่าอย่างไร หากท่านเป็นคริสเตียน, ผู้เขียนพระคัมภีร์, พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในท่าน … และพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ท่านเข้าใจว่าพระองค์ทรงเขียนอะไร

2. อย่าดึงข้อพระคัมภีร์ออกจากบริบทแล้วคิดเอาเองว่าความหมายของวรรคนั้นไม่ได้เกี่ยวกับวรรคอื่น ๆ ในบริบท ท่านควรอ่านบริบทและพระคัมภีร์ทั้งบทเสมอ และพยายามเข้าใจความหมายของหนังสือเล่มนั้น แม้ว่าพระคัมภีร์ทุกตอนมาจากพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:16; 2 เปโตร 1:21) แต่พระองค์ทรงใช้มนุษย์เป็นผู้บันทึก คนเหล่านี้มีแนวความคิด, วัตถุประสงค์ในการเขียน และ เรื่องที่จำเพาะเจาะจงที่ต้องการเขียน จงอ่านเบื้องหลังของหนังสือที่ท่านกำลังศึกษาเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นคนเขียน, เขียนถึงใคร, เขียนเมื่อไหร่ และทำไมจึงเขียน ต่อจากนั้นจงอ่านบทก่อนที่จะมาถึงวรรคที่ท่านกำลังศึกษาอยู่ เพื่อให้รู้ว่าหัวข้อที่มนุษย์ผู้เขีนกำลังเขียนอยู่นั้นเกี่ยวกับอะไร จงปล่อยให้ถ้อยคำในหนังสือสื่อความหมายออกมาเอง บางครั้งคนอ่านมักจะตีความหมายเข้าข้างตนเองเพื่อให้ได้ความหมายที่ต้องการ

3. อย่าพยายามศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งใครเลย มันเป็นความหยิ่งที่คิดว่าตัวเองไม่สามารถเข้าใจได้หากต้องศึกษาผ่านคนอื่นที่ได้ทุ่มเททั้งชีวิตศึกษาพระคัมภีร์มาก่อน ด้วยความเข้าใจผิด คนบางคนศึกษาพระคัมภีร์ด้วยการคิดว่าเขาจะพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นแล้วเขาจะได้พบความจริงทั้งหมดที่ซุกซ่อนอยู่ โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคริสต์ทรงประทานคนที่มีความสามารถ และของประทานฝ่ายวิญญาณแก่พระกายของพระองค์ หนึ่งในของประทานเหล่านั้นคือของประทานในการสอน (เอเฟซัส 4:11-12; 1 โครินธ์ 12:28) บรรดาครูเหล่านี้พระเจ้าประทานให้กับเราเพื่อช่วยให้เราเข้าใจแลเชื่อฟังพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง มันเป็นการฉลาดเสมอที่เราจะศึกษาพระค้มภีร์กับผู้เชื่อคนอื่น ๆ คอยช่วยกันทำความเข้าใจและนำความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามาประยุกต์ใช้





อะไรคือวิธีที่ถูกต้องในการศึกษาพระคัมภีร์?

พระคัมภีร์ได้รับการดลใจหมายความว่าอะไร?




คำถาม: พระคัมภีร์ได้รับการดลใจหมายความว่าอะไร?

คำตอบ:
เมื่อมีการพูดว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ ผู้พูดหมายความว่าพระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจดลใจผู้เขียนพระคัมภีร์ซึ่งเป็นมนุษย์ ให้เขียนในสิ่งที่เป็นพระวจนะของพระองค์ล้วน ๆ คำว่าดลใจในความหมายของพระคัมภีร์หมายความว่า “ลมปราณของพระเจ้า” คำว่าการดลใจสื่อความหมายให้เห็นถึงความจริงที่ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง จึงทำให้พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ไม่เหมือนหนังสืออื่นใดทั้งสิ้น

ในขณะที่มีบางคนสงสัยว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจมากน้อยแค่ไหน พระคัมภีร์เองยืนยันว่าทุกตอน, ทุกส่วนในนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัย (1 โครินธ์ 2:12-13; 2 ทิโมธี 3:16-17) ความเห็นจากพระคัมภีร์นี้บ่อยครั้งถูกเรียกว่าเป็นการดลใจโดย “คำพูดที่มีสิทธิอำนาจบริบูรณ์” ซึ่งหมายความว่าเป็นการดลใจที่ครอบคลุมไปถึงทุกถ้อยคำ (การดลใจโดยคำพูด) ไม่ใช่แค่แนวความคิดหรือความคิดเท่านั้น และเป็นการดลใจที่ครอบคลุมไปถึงทุกส่วนและทุกเรื่องในพระคัมภีร์ด้วย (การดลใจที่มีสิทธิอำนาจบริบูรณ์) มีบางคนเชื่อว่ามีบางส่วนของพระคัมภีร์เท่านั้นที่ได้รับการดลใจ หรือเพียงแค่ความคิดหรือแนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้นที่ได้รับการดลใจ แต่ความคิดนี้ไม่ได้สนใจเลยว่าพระคัมภีร์พูดว่าอย่างไร การดลใจด้วยคำพูดที่มีสิทธิอำนาจเต็มบริบูรณ์คือลักษณะสำคัญของพระวจนะของพระเจ้า

ขอบเขตของการดลใจปรากฏอยู่ชัดเจนในข้อพระคัมภีร์ 2 ทิโมธี 3:16 “พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่าพระเจ้าทรงดลใจพระคัมภีร์ทุกตอน และมันเป็นประโยชน์สำหรับเรา ไม่ใช่ว่าข้อพระคัมภีร์ส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำสอนในทางศาสนาศาสตร์เท่านั้นที่ได้รับการดลใจ แต่ทุกตอนตั้งแต่ปฐมกาลไปจนถึงวิวรณ์คือพระวจนะของพระเจ้าเองโดยตรง และเพราะว่าพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า ดังนั้นมันจึงมีสิทธิอำนาจในการสถาปนาคำสอน และ เพียงพอในการสอนให้มนุษย์รู้วิธีที่จะมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า “อบรมในเรื่องความชอบธรรม” พระคัมภีร์บอกว่าไม่เพียงแต่ตัวพระคัมภีร์เองจะได้รับการดลใจจากพระเจ้าเท่านั้น แต่พระคัมภีร์สามารถเปลี่ยนแปลงเราและทำให้เรา “บริบูรณ์” พร้อมเพื่อที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับการดลใจอยู่ในหนังสือ 2 เปโตร 1:21 ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่า “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา” ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าถึงแม้ว่ามนุษย์จะเป็นผู้บันทึกข้อพระคัมภีร์ แต่ถ้อยคำที่พวกเขาบันทึกเป็นถ้อยคำของพระเจ้าโดยตรง แม้ว่าพระเจ้าจะทรงใช้มนุษย์ผู้มีบุคลิกและวิธีการเขียนที่แตกต่างกันออกไป แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจทุกถ้อยคำที่พวกเขาเขียน พระเยซูก็ได้ทรงยืนยันด้วยพระองค์เองถึงเรื่องการดลใจด้วยคำพูดที่มีสิทธิอำนาจเต็มบริบูรณ์ในพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ตรัสว่า “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” (มัทธิว 5:17-18) ในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซูทรงย้ำถึงความถูกต้องของข้อพระคัมภีร์ลงไปจนถึงรายละเอียดที่ย่อยที่สุดและแม้กระทั่งจุด ๆ หนึ่ง - เพราะมันคือพระวจนะของพระเจ้าทุกตัว

เพราะพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า เราจึงสามารถสรุปได้ว่ามันไม่มีอะไรปลอมปนและมีสิทธิอำนาจ การมีมุมมองที่ถูกต้องกับพระเจ้าจะทำให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องกับพระวจนะของพระองค์ด้วย เพราะพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด, สัพพัญญู และสมบูรณ์ไร้ที่ติ ดังนั้นพระวจนะของพระองค์จึงมีคุณสมบัติเช่นเดียวกันด้วยโดยธรรมชาติของมันเอง ข้อพระคัมภีร์ที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจเป็นข้อพระคัมภีร์เดียวกันที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์ไม่มีข้อผิดพลาดและมีสิทธิอำนาจ โดยไม่มีข้อสงสัยพระคัมภีร์เป็นในสิ่งที่ตัวเองยืนยัน – ตือไม่มีใครปฏิเสธได้, มีสิทธิอำนาจ, และเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงมวลมนุษยชาติ





พระคัมภีร์ได้รับการดลใจหมายความว่าอะไร?

ทำไมเราจึงต้องอ่าน/ศึกษาพระคัมภีร์?




คำถาม: ทำไมเราจึงต้องอ่าน/ศึกษาพระคัมภีร์?

คำตอบ:
พูดง่าย ๆ คือ เราต้องอ่านและศึกษาพระคัมภีร์เพราะมันเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงเรา 2 ทิโมธี 3:16 กล่าวว่าพระคัมภีร์เป็น “ลมปราณ” ของพระเจ้า จะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงเรา มีคำถามมากมายจากปราชญ์และผู้คนซึ่งพระเจ้าได้ทรงตอบไว้ในพระคัมภีร์: อะไรคือวัตถุประสงค์ของชีวิต? ฉันมาจากไหน? มีชีวิตหลังความตายไหม? ฉันจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ทำไมโลกจึงเต็มไปด้วยความชั่วร้าย? ทำไมฉันจึงต้องปล้ำสู้ที่จะทำการดี? นอกจากคำถาม “ใหญ่” ๆ เหล่านี้แล้ว พระคัมภีร์ยังให้คำแนะนำมากมายต่อคำถามเช่น: ฉันจะดูตรงไหนว่าใครเป็นคู่ครอง? ฉันจะมีชีวิตสมรสที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีได้อย่างไร? ฉันจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้อย่างไร? ความสำเร็จคืออะไร แล้วฉันจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ฉันจะเปลื่ยนตัวเองได้อย่างไร? ชีวิตมีความหมายจริง ๆ ไหม? ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไรที่จะไม่ต้องเสียใจทีหลัง? ฉันจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร? ฉันจะได้รับการให้อภัยได้อย่างไร? ฉันจะจัดการและเอาชนะสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมละที่แย่ ๆ ในชีวิตได้อย่างไร?

เราควรอ่านและศึกษาพระคัมภีร์เพราะพระคัมภีร์ไว้ใจได้แน่นอนและไม่มีข้อผิดพลาด พระคัมภีร์มีเอกลักษณ์แตกต่างจากหนังสือ “ธรรมะ” อื่น ๆ ในแง่ที่ว่ามันไม่ได้เพียงแค่สอนคุณธรรมแล้วบอกว่า “เชื่อฉันซิ” เท่านั้น แต่พระคัมภีร์เปิดโอกาสให้เราทดสอบความแม่นยำด้วยการให้เราตรวจสอบคำพยากรณ์เป็นร้อย ๆ ข้อที่บอกรายละเอียดไว้อย่างชัดเจน กับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตามที่พระคัมภีร์อ้างถึงได้ คนที่บอกว่าพระคัมภีร์มีข้อผิดพลาดเป็นคนที่ปิดหูปิดตาต่อความจริง ครั้งหนึ่งพระเยซูเคยถามว่าอะไรจะง่ายกว่ากันระหว่างการพูดว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว' หรือจะว่า `จงลุกขึ้นเดินไปเถิด' แล้วพระองค์ก็ได้ทรงพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงสามารถยกโทษบาปได้ (อะไรซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า) ด้วยการรักษาคนง่อย (อะไรซึ่งคนรอบข้างสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาของเขาเอง) เช่นเดียวกันเราสามารถเชื่อได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายวิญญาณที่เราไม่สามารถทดสอบได้ด้วยสัมผัสของเราเองเป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ตัวของมันเองจากสิ่งที่เราสามารถตรวจสอบได้ (ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และคำพยากรณ์)

เราควรอ่านและศึกษาพระคัมภีร์เพราะพระเจ้าทรงไม่เปลี่ยนแปลงและธรรมชาติของมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน – พระคัมภีร์ยังใช้การได้สำหรับเราเหมือนกับตอนที่เพิ่งถูกเขียนขึ้นมา ในขณะที่เทคโนโลยีรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไป ความปรารถนาของมนุษย์และธรรมชาติไม่เคยเปลี่ยนแปลง ท่านจะเห็นว่าเมื่อท่านอ่านพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงความสัมพันธ์ตัวต่อตัวหรือต่อสังคม “ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์” เลย และในขณะที่มนุษย์เดินหน้าแสวงหาความรักและความพึงพอใจในที่ ๆ ผิด พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างที่แสนดีของเรา ได้ทรงบอกเราว่าเราจะพบความชื่นชมยินดีนิรันดร์ได้อย่างไร พระวจนะ, ข้อพระคัมภีร์ที่พระองค์ทรงเปิดเผยสำแดงมีความสำคัญมากเสียจนพระเยซูตรัสว่า “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4) หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากท่านต้องการจะมีชีวิตอย่างเต็มที่ตามที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ จงฟังและเอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับการบันทึกไว้ … มันสำคัญยิ่งกว่าการกินอาหารเสียอีก!

เราควรอ่านและศึกษาพระคัมภีร์เพราะมีคำสอนเทียมเท็จมากมายในโลกนี้ พระคัมภีร์ให้สายวัดแก่เราที่เราสามารถใช้วัดได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงเป็นแบบไหน การมองภาพพระเจ้าผิดไปทำให้เราหันไปนมัสการ “รูปเคารพ” หรือ “พระเทียมเท็จ” แทน เรานมัสการอะไรบางอย่างซึ่งไม่ใช่พระองค์! พระคัมภีร์บอกว่าเราจะไปสวรรค์ได้อย่างไร … และมันไม่ใช่เรื่องของการเป็นคนดีหรือการรับบัพติศมา หรือการกระทำใด ๆ ก็ตาม (ยอห์น 14:6; เอเฟซัส 2:1-10; อิสยาห์ 53:6; โรม 3:10f., 5:8; 6:23; 10:9-13) และจากการเรียนรู้ความจริงเหล่านี้นั่นเองที่ทำให้เรารักพระองค์ (1 ยอห์น 4:19)

พระคัมภีร์จะเตรียมท่านให้พร้อมที่จะรับใช้พระเจ้า (2 ทิโมธี 3:17; เอเฟซัส 6:17; ฮีบรู 4:12) มันจะช่วยให้ท่านรู้ว่าท่านจะหลุดพ้นจากความบาปของท่านและผลเสียที่ติดตามมาได้อย่างไร (2 ทิโมธี 3:15) การใคร่ครวญและเชื่อฟังคำสอนจากพระคัมภีร์จะนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตของท่าน (โยชูวา 1:8; ยากอบ 1:25) พระวจนะของพระเจ้าจะช่วยให้ท่านเห็นความบาปในชีวิตของท่านและจะช่วยให้ท่านจัดการกับมันได้ (สดุดี 119:9, 11) มันจะนำชีวิตของท่าน ช่วยให้ท่านมีความเข้าใจมากกว่าบรรดาครูของท่าน (สดุดี 32:8; 119:99; สุภาษิต 1:6) พระคัมภีร์จะช่วยไม่ให้ท่านต้องเสียเวลาในชีวิตไปกับสิ่งที่ไม่ถาวรมั่นคงและไร้สาระ (มัทธิว 7:24-27)

การอ่านและศึกษาพระคัมภีร์จะช่วยให้ท่านเห็นเลยออกไปไกลไปกว่า “เหยื่อ” ที่ล่อไว้อย่างน่าสนใจเพื่อให้ท่านล้มลงไปในความบาป ไปถึง “ตะขอ” อันเจ็บปวดที่ซ่อนไว้เบื้องหลัง เพื่อที่ท่านจะได้เรียนรู้จากความผิดของคนอื่นแทนที่จะเป็นคนทำมันเอง ประสบการณ์เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อพูดถึงการเรียนรู้จากการทำความบาป มันเป็นครูที่แย่มาก ดังนั้นการเรียนรู้จากความผิดของคนอื่นจึงดีกว่า ในพระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายจากชีวิตผู้คนให้ท่านเรียนรู้ ทั้งในแง่ดีและไม่ดี บ่อยครั้งตัวอย่างนั้นมาจากคน ๆ เดียวกันแต่ต่างเวลาต่างวาระกัน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อตอนที่กษัตริย์ดาวิดรบชนะยักษ์ใหญ่โกลิอัธ พระคัมภีร์สอนเราว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดที่พระองค์ทรงให้เราเผชิญ (1 ซามูเอล 17) แต่เมื่อตอนที่กษัตริย์ดาวิดล้มลงในการทดลองด้วยการผิดประเวณีกับบัทเชบา พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าผลที่ติดดามมาจาก “ความสุขชั่วครู่” สามารถเป็นไปอย่างยาวนานและเลยร้ายแค่ไหน (2 ซามูเอล 11:2) การรู้พระคัมภีร์ให้ความหวังและสันติสุขที่แท้จริงกับเราเมื่อทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะพังทลายลงไป (โรม 15:4; สดุดี 112:7; ฮะบากุก 3:17-19).

พระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้สำหรับอ่านเล่น ๆ แต่เป็นหนังสือที่เราจะต้องศึกษาเพื่อที่เราจะนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ได้ หาไม่เช่นนั้นมันก็เหมือนกับการกลืนอาหารโดยไม่ได้เคี้ยวแล้วต้องคายออกมาภายหลัง… ร่างกายไม่ได้รับคุณค่าทางอาหารเลย พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นพระคัมภีร์จึงผูกพันเสมือนหนึ่งกฎแห่งธรรมชาติ ท่านอาจไม่สนใจธรรมชาติได้ แต่การทำเช่นนั้นก็เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง เหมือนกับว่าท่านไม่สนใจกฎแห่งการโน้มถ่วง การเน้นแล้วเน้นอีกก็ยังไม่เพียงพอว่าพระคัมภีร์สำคัญต่อชีวิตเรามากแค่ไหน การศึกษาพระคัมภีร์เปรียบเสมือนการขุดทอง หากท่านพยายามเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ “ร่อนตะแกรงไปมาผ่านก้อนหินในลำธาร” ท่านก็จะได้แค่เศษทองเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากท่าน ‘ขุดอย่างเอาจริงเอาจัง” ท่านก็จะได้รับรางว้ลคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน





ทำไมเราจึงต้องอ่าน/ศึกษาพระคัมภีร์?